ความแตกต่างระหว่างล่ามกับนักแปล

ความแตกต่างระหว่างล่ามกับนักแปล

การสื่อสารข้ามภาษาอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับภาครัฐ ธุรกิจเอกชน หรือแม้กระทั้งระดับตัวบุคคลก็เช่นกัน ในบางครั้งนักแปลและล่ามสามารถสลับสับเปลี่ยนหรือทำงานแทนกันได้ แต่การแปลกับล่ามนั้นเป็นงานที่แตกต่างกันและตอบโจทย์ความต้องการคนละแบบ

การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างนักแปลและล่ามจะช่วยให้เราเลือกใช้บริการทางภาษาได้อย่างถูกต้อง โดยในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่างล่ามกับนักแปลกันค่ะ

รูปแบบการสื่อสาร

1. รูปแบบการสื่อสาร

นักแปล

  • การแปลจะเกี่ยวเนื่องกับการแปลงข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากภาษาหนึ่งไปยังภาษาหนึ่ง นักแปลจะทำงานแปลพวกเอกสารต่าง ๆ เว็บไซต์ คอนเทนต์ทางการตลาด หนังสือ หรือคู่มือ เป็นต้น
  • เป้าหมายของการแปลคือเพื่อให้มั่นใจว่าข้อความเหล่านั้นจะแปลออกมาได้อย่างถูกต้อง โดยที่ยังคงรูปแบบ สไตล์ และใจความหลักที่ต้นฉบับต้องการจะสื่อได้อย่างลงตัว
  • ข้อดีของนักแปล คือสามารถใช้ตัวช่วยในการแปลได้ เช่น พจนานุกรม ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องและเพิ่มคุณภาพของงานแปลได้

ล่าม

  • งานล่ามนั้นจะเป็นกระบวนการแปลงข้อความที่พูดหรือภาษามือแบบทันที จะเป็นการถ่ายทอดหรือสื่อความของผู้พูดออกมาในขณะนั้นและไม่มีเวลาในการทบทวนหรือหาข้อมูลมากนัก
  • ล่ามจะเป็นที่ต้องการในงาน เช่น การประชุม กระบวนการพิจารณาตามกฎหมาย การปรึกษาทางการแพทย์ หรือการออกอากาศถ่ายทอดสดงานต่าง ๆ
  • จุดหลักของงานล่ามคือการสื่อสารข้อความนั้น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และพยายามตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้พูดทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจ สิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อแม้จะมีกำแพงทางภาษา
กรอบเวลาในการแปล

2. กรอบเวลาในการแปล

นักแปล

  • โดยปกติแล้วกระบวนการในการแปลจะไม่ได้เป็นการแปลแบบทันทีทันใด นักแปลจะมีโอกาสและมีเวลาแปลงานตามข้อจำกัดของตัวเองหรือตามกรอบเวลาที่ลูกค้ากำหนดให้ สามารถแก้ไขงานแปลได้ มีเวลาตรวจสอบความถูกต้องและพิสูจน์อักษร
  • กระบวนการแปลเช่นนี้สำคัญมากกับงานที่ต้องการความถูกต้องและคุณภาพในระดับสูง เช่น เอกสารทางกฎหมาย คู่มือการใช้งานผลิตภัณฑ์ คู่มือการทำงาน หรือเอกสารวิชาการในแขนงต่าง ๆ
  • นักแปลมีเวลาในการตรวจสอบคำศัพท์ทางเทคนิค ศึกษาข้อมูลอภิธานศัพท์ในศาสตร์เฉพาะทาง และตรวจสอบให้แน่ใจว่างานแปลจะถูกต้องตรงตามตามต้นฉบับ

ล่าม

  • ล่ามจะต้องแปลคำพูดในขณะนั้นเลยซึ่งจะต่างจากนักแปล ล่ามจะต้องทำความเข้าใจ ประมวลผล แปลคำพูดแบบทันที ซึ่งอาจจะมีการแปลผิดพลาดบ้างตามประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของล่ามแต่ละคน
  • ล่ามมีหลายประเภท เช่น ล่ามพูดตาม (Consecutive Interpretation) ล่ามพูดพร้อม (Simultaneous Interpretation) เป็นต้น
  • ธรรมชาติของงานล่ามคือต้องรวดเร็ว ใช้เวลาน้อย สิ่งสำคัญของงานล่ามคือต้องสื่อสารให้ชัดเจน เก็บความหมายหลักให้ครบ มากกว่าการแปลทุกคำแบบคำต่อคำ
ทักษะที่ใช้ในการแปล

3. ทักษะที่ใช้ในการแปล

นักแปล

  • นักแปลต้องมีทักษะการอ่าน (Reading skill) และการเขียน (Writing skill) ระดับสูง มีความเข้าใจทางภาษาอย่างลึกซึ้งทั้งภาษาต้นทางและภาษาปลายทาง
  • นักแปลต้องใส่ใจในรายละเอียด อดทน และมีความสามารถในการหาค้นคว้าข้อมูลเพื่อใช้คำศัพท์ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานเฉพาะทางต่าง ๆ เช่น การแพทย์ กฎหมาย งานเทคนิค
  • นักแปลควรมีการตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมเพื่อที่จะสามารถปรับคำหรือวลีต่าง ๆ ที่อาจไม่มีความหมายโดยตรงในภาษาปลายทาง

ล่าม

  • ล่ามต้องมีทักษะการฟัง (Listening skill) ระดับดีเยี่ยม มีการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีความสามารถในการโฟกัสกับการสนทนาหรือสถานการณ์นั้น ๆ เป็นระยะเวลานาน
  • ล่ามต้องมีทักษะการพูด (Speaking skill) ระดับสูง โดยเฉพาะทักษะการพูดในที่สาธารณะ ต้องมีความมั่นใจในการสื่อสารและแปลคำพูดได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง
  • ล่ามต้องมีความจำเป็นเลิศและมีทักษะการจดโน้ต ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเป็นล่ามพูดตาม เพื่อทวนคำพูดของผู้พูดและแปลออกมาได้อย่างเหมาะสม
ความถูกต้องและระยะเวลาการในการแปล

4. ความถูกต้องและระยะเวลาในการแปล

นักแปล

  • จุดสำคัญของการแปล คือ การได้งานแปลที่มีคุณภาพสูง โดยนักแปลจะมีเวลาในการตรวจทานความถูกต้องทางด้านไวยากรณ์ ความเหมาะสมทางด้านวัฒนธรรม และความสอดคล้องของงานแปลกับต้นฉบับ
  • กระบวนการทำงานของนักแปล โดยส่วนใหญ่อาจเริ่มตั้งแต่การแปลดราฟท์ก่อน จากนั้นตรวจทานและแก้ไข จนไปถึงพิสูจน์อักษรเพื่อให้ได้งานแปลที่มีคุณภาพมากที่สุด
  • ในบางครั้งการแปลอาจเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนคำ วลี หรือเนื้อหาให้เข้ากับบริบททางภาษา วัฒนธรรม และกลุ่มผู้อ่านของภาษาปลายทาง (Localization)

ล่าม

  • งานล่ามจะเน้นเรื่องความเร็ว มากกว่าความถูกต้องครบถ้วนของเนื้อหา โดยปกติแล้ว ล่ามจะแปลคำพูดแบบเก็บใจความสำคัญและความตั้งใจในการสื่อความหมายของผู้พูด จะไม่ได้แปลทุกคำ
  • ในงานที่มีความกดดันสูง ล่ามอาจจะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและใช้ทักษาะในการแปลคำพูดที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น บางครั้งอาจมีการละเว้นหรือข้ามการแปลรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างที่ไม่กระทบต่อความหมายโดยรวม
  • จุดสำคัญของงานล่าม คือ ทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น และผู้พูดทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
สถานที่และบริบทของงาน

5. สถานที่และบริบทของงาน

นักแปล

  • โดยส่วนมากนักแปลจะทำงานในสถานที่ที่ไม่มีเสียงดังมากนัก เช่น ออฟฟิศ บ้าน หรือที่ที่นักแปลสามารถมีสมาธิจดจ่อกับงานได้
  • นักแปลสามารถแปลงานได้หลากหลาย เช่น สัญญา คู่มือผลิตภัณฑ์ เอกสารทางวิชาการ สื่อการตลาด หรืองานวรรณกรรม เป็นต้น
  • นักแปลสามารถทำงานได้จากทุกที่ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักแปลฟรีแลนซ์ที่ต้องการทำงานตามสถานที่และเวลาที่ตนสะดวก

ล่าม

  • ล่ามจะทำงานในสถานที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทงาน เช่น งานประชุม ล่ามอาจจะประจำตามห้องหรือโต๊ะสำหรับล่าม นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ เช่น ไมค์ หูฟัง ให้ใช้ในการแปลให้ผู้ฟังในการประชุมนั้น ๆ
  • หากเป็นล่ามในห้องพิจารณาคดี ล่ามจะมีหน้าที่ช่วยแปลให้ผู้ฟังที่ไม่ได้ใช้ภาษานั้น ๆ เข้าใจกระบวนพิจารณาตามกฎหมาย หรือหากเป็นล่ามตามโรงพยาบาล ก็จะมีหน้าที่แปลและช่วยให้ผู้ที่มารับการรักษาสามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้
  • โดยปกติแล้ว งานล่ามค่อนข้างจะมีแรงกดดันสูง เนื่องจากจำเป็นต้องมีกระบวนการคิดอย่างรวดเร็วแต่ต้องนิ่งและสุขุมในทุกสถานการณ์

ตลาดแปลภาษา PasaGuru พร้อมให้บริการ

สั่งงานง่าย ได้งานชัวร์ สนใจแปลภาษา คลิกเลย!

สั่งแปลภาษา

สรุป

การแปลและล่ามต่างมีบทบาทสำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมช่องว่างทางภาษา อย่างไรก็ตาม งานทั้งสองมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน และมีความแตกต่างในหลายด้าน ทั้งรูปแบบการสื่อสาร กรอบเวลา ทักษะที่ใช้ ความถูกต้องและระยะเวลาในการแปล รวมถึงสถานที่และบริบทของงาน โดยงานแปลจะตอบโจทย์สำหรับงานที่ต้องการความละเอียดรอบคอบและคุณภาพสูง ในขณะที่งานล่ามจะเหมาะสำหรับการสื่อสารแบบทันทีทันใด อำนวยความสะดวกให้ผู้พูดและผู้ฟังทุกฝ่ายเข้าใจกันแบบไม่ติดขัด

เมื่อทราบถึงความแตกต่างระหว่างล่ามกับนักแปลแล้ว เราก็จะสามารถเลือกบริการได้ถูกต้องและเหมาะสมกับงานของเรา นอกจากจะต้องเลือกบริการให้ถูกแล้ว ก็ต้องเลือกนักแปลที่มีความรู้และประสบการณ์ในงานแขนงนั้น ๆ ด้วย ซึ่งเราควรพิจารณาเลือกใช้บริการกับนักแปลหรือบริษัทแปลภาษาที่น่าเชื่อถือ โดยอาจจะดูรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการหรือพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับงานก่อนสั่งงาน